เมื่อปีที่แล้วเดือนมีนาคม พ่อได้รับการวินิจฉัยจากหมอที่โรงพยาบาลกรุงธนว่าเป็นมะเร็งปอด หลังจากนั้นก็ไปทำการรักษาที่ศิริราช และก็ผ่านมาได้เป็นปี เดือนตุลาคมปีต่อมาอาการน้ำในปอดเริ่มมีมากขึ้นจนทำให้ต้องไปเจาะปอดเพื่อเอาน้ำออก ขั้นตอนการเจาะน้ำทำที่ศิริราช นอนอยู่หลายวัน ระหว่างขั้นตอนนี้พ่อมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และอาการโคม่าอยู่ประมาณสองวัน การเจาะน้ำในปอดจึงต้องยกเลิกและทำการรักษาอาการติดเชื้อแทน ในช่วงนี้อาการอื่นเริ่มแทรกเข้ามา ริดสีดวงที่เป็นมานานก็กำเริบ มีอาการบวม ปัสสาวะไม่ออกจนต้องใช้วิธีต่อสาย รักษาอาการข้างเคียงอยู่ประมาณสองสัปดาห์ พ่อออกจากศิริราชกลับมาพักที่บ้านตอนปลายเดือนตุลาคม
ต้นเดือนพฤศจิกายนน้ำท่วมกรุงเทพหนักมาก เลยตัดสินใจให้พ่อแม่และพี่สาวเดินทางไปพักอยู่ที่ต่างจังหวัด เลยเป็นครั้งแรกที่พ่อได้ไปหัวหิน แล้วพ่อก็ไปมีอาการริดสีดวงกำเริบทำให้นั่งไม่ได้ ต้องนอนเท่านั้น เลยต้องทุลักทุเลพากลับมารักษาที่กรุงเทพ เลยเข้าไปพักที่กรุงธนอีกครั้ง เพราะเข็ดจากศิริราชแล้ว ที่โรงพยาบาลกรุงธนสะอาดกว่าศิริราชอย่างไม่ต้องเปรียบเทียบ ศิริราชเจ๋งในเรื่องการรักษาอาการติดเชื้อ ผมคิดว่าเขาเก่งจริง เพราะทีมแพทย์ที่ศิริราชน่าจะเจอการการติดเชื้อบ่อยจนรักษาเก่ง ไปรักษาโรคเอ แต่ได้อาการโรคบีแถมให้แบบคนกันเอง วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมศิริราชถึงผลิตหมอเก่งๆออกมาได้ เพราะสร้างโจทย์ได้เองและต้องแก้โจทย์นั้นเอง ไม่เก่งได้อย่างไร
ที่โรงพยาบาลกรุงธน พ่อรักษาริดสีดวง รักษาอาการฝีที่แก้มก้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ็บปวดจนนั่งไม่ได้ ตอนนี้การผ่าตัดเล็กผ่านไปแล้วสองครั้ง มีการเย็บลำไส้ใหญ่ด้วยเพราะมีรูทะลุจนทำให้เกิดฝี การรักษาทุกอย่างดำเนินไปแล้ว คาดว่าจะแก้ปัญหาต่างๆได้ แต่ก็คงจะทรมานจนพ่อเริ่มท้อแท้ถอดใจ สิ่งสำคัญคือครอบครัว ถ้าไม่มีครอบครัว ผมคิดว่าพ่อคงไม่อยากมีชีวิตต่อ มะเร็งขั้นสามเมื่อปีที่แล้วอยู่ในปอด มีโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ลำไส้ไม่ปกติ ดูเหมือนจะเป็นการตอกย้ำว่าพ่อแก่แล้วจริงๆ ต้องทำใจยอมรับและเรียนรู้อยู่กับความเสื่อมถอยของร่างกาย
ความคิดเห็น